E-Commerce (พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์) คืออะไร............
ถ้าจะกล่าวกันสั้นๆก็คือการทำ ”การค้า”ผ่านทางระบบอิเล็กทรอนิกส์ นั่นเอง โดยคำว่าสื่ออิเล็กทรอนิกส์ นั้นจะครอบคลุมตั้งแต่ ระดับเทคโนโลยีพื้นฐาน อาทิ โทรศัพท์ โทรสาร โทรทัศน์ ไปจนถึงเทคโนโลยีที่มีความซับซ้อนกว่านี้
แต่ว่าในปัจจุบันสื่อที่เป็นที่ นิยมและมีความแพร่หลายในการใช้งานคืออินเทอร์เน็ตและมีการนำมาใช้ประโยชน์เพื่อการทำการค้ามาก จนทำให้เมื่อพูดถึงเรื่อง พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์คนส่วนใหญ่ จะเข้าใจไปว่าคือการทำการค้าผ่านอินเทอร์เน็ตนั่นเอง
อินเตอร์เนตจะเปลี่ยนวิถีทางการดำรงชีวิตของทุกคน อินเตอร์เนต จะเปลี่ยนวิธีการศึกษาหาความรู้ อินเตอร์เนตจะเปลี่ยนวิธีการทำมาค้าขาย อินเตอร์เนตจะเปลี่ยนวิธีการหาความสุขสนุกสนาน อินเตอร์เนตจะเปลี่ยนทุกสิ่งทุกอย่าง และทุกสิ่งทุกอย่างจะรวมกันเข้ามาหาอินเตอร์เนต กล่าวกันว่าในปัจจุบันนี้ถ้าบริษัทห้างร้านใดไม่มีหน้าโฮมเพจในอินเตอร์เนตบริษัทห้างร้านนั้นก็ไม่มีตัวตน นั่นคือไม่มีใครรู้จัก เมื่อไม่มีใครรู้จักก็ไม่มีใครทำมาค้าขายด้วย แล้วถ้าไม่มีใครทำมาค้าขายด้วยก็อยู่ไม่ได้ต้องล้มหายตายจากไป
ว่ากันว่าอินเตอร์เนตคือแหล่งข้อมูลข่าวสาร และข้อมูลข่าวสารอย่างหนึ่งก็คือ ข้อมูลเกี่ยวกับราคาสินค้า ข้อมูลรายละเอียดเกี่ยวกับสินค้านั้นๆ และข้อมูลเกี่ยวกับผู้ขายผู้ผลิต ซึ่งในปัจจุบันผู้บริโภคมีทางเลือกในการที่จะซื้อสินค้ากันมากขึ้น เช่นการเข้าไปเลือกซื้อจากในเว็บไซต์ มีการเข้าไปเปรียบเทียบราคาสินค้าก่อนที่จะซื้อ หากจะกล่าวว่า “ข่าวสาร” คืออำนาจ ในปัจจุบันนี้ผู้บริโภคก็ได้รับการติดอาวุธอย่างใหม่ที่มีอำนาจมากพอที่จะต่อรองกับผู้ผลิต และผู้จำหน่ายสินค้าได้ผลดีที่สุดเท่าที่เคยมีมาและพฤติกรรมของผู้บริโภคทั่วโลกก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง
ในการทำอีคอมเมิร์ซนั้นไม่ใช่เพียงแค่เป็นเว็บเพจหรือช่องทางการจำหน่ายสินค้า แต่อีคอมเมิร์ซยังมีความหมายรวมไปถึงการนำเทคโนโลยีมาใช้ในกระบวนการทางธุรกิจ เพื่อลดค่าใช้จ่าย ลดเวลาที่ต้องสูญเสียไปโดยเปล่าประโยชน์ และยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจ
รวมไปถึงการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าของกับผู้บริโภค และผู้ค้าส่ง สำนักวิจัยไอดีซี (IDC) ได้ประมาณรายได้ของการทำธุรกิจอีคอมเมิร์ซแบบธุรกิจต่อธุรกิจ (B-to-B) ว่าเพิ่มขึ้นจาก 80 พันล้านเหรียญสหรัฐหรือประมาณ 3,200 พันล้านบาทในปี พ.ศ. 2542 เป็น 1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐหรือประมาณ 40 ล้านล้านบาทในปี พ.ศ. 2546
ประโยชน์ของ web e-commerce
1 เป็นการขยายช่องทางในการแนะนำสินค้า และเป็นการเพิ่มยอดขายของบริษัทอีกช่องทางหนึ่งด้วย
2 มีค่าใช้จ่ายที่ไม่สูง แต่มีประสิทธิภาพสูงมากในการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าของท่าน
3 สามารถที่จะยกระดับการค้าของบริษัทให้มีความน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้น
4 ท่านสามารถซื้อขายสินค้าผ่านเว็บไซต์ของท่านได้ ได้ตลอด 24 ชั่วโมง
5 มีรูปแบบการติดต่อลูกค้าใหม่ๆ เช่น การพิมพ์คุยสนทนาผ่านหน้าเว็บหรือ แชท (Chat) เพื่อ Support ลูกค้าของคุณได้ และมีการติดต่อผ่านระบบที่เรียกว่าอีเมล์ (Email)
6 ช่วยให้มีหน้าร้านการขายสินค้าที่ใครๆ ก็สามารถที่จะเข้าถึงได้โดยง่าย ผ่านหน้าร้านที่เรียกว่าโฮมเพจ (Homepage)
7 เป็นการส่งเสริมการค้าขายในรูปแบบใหม่ผ่านทางอินเตอร์เน็ต สามารถเพิ่มความน่าเชื่อถือของประเทศท่านได้
8 เป็นเหมือนฐานการโฆษณาให้กับบริษัทของท่าน โดยไม่จำกัดอยู่แค่พื้นที่ใดพื้นที่หนึ่ง หรือจำกัดอยู่ที่กลุ่มคนกลุ่มหนึ่ง แต่สามารถโฆษณาผ่านถึงคนทุกคนที่ใช้งานอินเตอร์เน็ตได้
ข้อเสีย
- ผู้ซื้ออาจไม่แน่ใจว่าสั่งซื้อแล้วจะได้รับสินค้าจริง หรือได้รับสินค้าที่ไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือสินค้าชำรุดเสียหายหรือสูญหาย
- สินค้าอาจเป็นสินค้าที่ไม่ผ่านการทดสอบ หรือสินค้าไม่มีคุณภาพ
- เสี่ยงต่อการถูกฉ้อโกง หรือถูกโกงราคาหรือถูกหลอกลวงได้ง่าย
- ข้อมูลสินค้าบางอย่างอาจมีการโอ้อวดคุณภาพสินค้าเกินจริง โดยที่เราไม่สามารถตรวจสอบได้
- ในระบบกฎหมายของไทย ยังไม่มีการให้ความคุ้มครองอย่างทั่วถึงเพียงพอ ความปลอดภัยในข้อมูลทางอินเทอร์เน็ตจึงยังไม่ปลอดภัยพอ
Virtuemart เป็นโปรแกรมส่วนขยายของ Joomla ที่มีประสิทธิภาพสูง มีระบบตระกร้าสินค้า ที่ทำงานได้กับระบบอีคอมเมิรซ์แบบ B2B และ B2C รองรับผู้ผลิตและผู้จำหน่ายหลายราย และฟังก์ชั่นอื่นๆอีกมาก ซึ่งเมื่อนำมารวมกับข้อเด่นของ Joomla ที่สามารถจัดการ Content ได้อย่างดีเยี่มม เรียกได้ว่า Virtuemart คือสุดยอดของระบบอีคอมเมิรซ์สมบูรณ์แบบอย่างแท้จริง เหมาะแก่ผู้ที่ต้องการเว็บไซต์ที่ประกอบไปด้วย Content ต่างๆที่ท่านต้องการแสดงภายในเว็บไซต์ และทำธุรกรรมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ควบคู่กันไปด้วย
PrestaShop คือเว็บไซต์สำเร็จรูปที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ที่ต้องการทำธุรกรรมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ที่กำลังได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เหมาแก่ผู้ที่ต้องการเน้นการทำธุรกรรมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์
แนวทาง E-Commerce ในการพัฒนาสำหรับ ปี 2012
Product ที่จะทำให้ประสบความสำเร็จนั้นมันต้องแตกต่าง ที่สำคัญง่าย และเข้าถึง อ่านจบกลับมาดูงานตัวเองในปีที่ผ่านมา Requirement ทั้งหมดทั้งปวงคือสิ่งที่ลูกค้าต้องการแต่ยังไม่ออกมาเป็น Plat form ที่ควรจะเป็น นั่งทบทวนจากสิ่งที่มีอยู่ Source Code และ แนวทาง Marketing ของลูกค้าที่ประสบความสำเร็จ แต่ยังยากอยู่สำหรับการนำมาใช้กับลูกค้าทุกราย Mission ในปีนี้ของ Team จะต้องพัฒนาของเดิมให้ดีขึ้น เราจะทำอะไร
จุดแข็งที่ Open Source ระบบ E-Commerce นั้น ไม่สามารถทำได้คือ
1. Middle ware หรือเรียกอีกอย่างว่าระบบกลาง ในการเชื่อมต่อระหว่าง off-line กับ On-line ให้ทำงานพร้อมกัน ถึงแม้จะ ต้องตั้งเวลาในการดึงข้อมูล Update / Insert ตามภาษาโปรแกรมเมอร์ แต่จากประสบการณ์ การเชื่อมต่อระบบที่ผ่านมาทำให้เรา แข็งในแง่ประสบการณ์ด้านนี้
2. E-Commerce Solution Platform ประสบการณ์หลายปีที่ผ่านมาเราพัฒนาระบบ E-Commerce เชื่อมต่อกับระบบ Payment Gateway ทำให้ลูกค้าเข้าถึงในการซื้อสินค้าได้โดยง่าย
3. Infrastructure + Support ระบบที่ดีต้องไม่ล่ม ต้องขายได้ 24 ชั่วโมงและต้องมีคนเป็นในการแก้ปัญหาได้
4. ระบบเช่า เป็น Business Model ที่น่าลองเป็นที่สุดคือการเก็บเป็น Monthly Charge แทนการเก็บทั้งก้อน เพื่อการดูแลตลอด
ระบบ E-Commerce กลับมา Reviews อีกครั้งกับสิ่งที่มีอยู่นั้น เราน่าจะต้องลงมือไปปฏิวัติ เอา Design นำการตลาด
นี่คือสิ่งที่จะทำให้ Platform E-Commerce เกิดมาในปี 2012 ในสิ่งที่ได้เรียนรู้จากประสบการณ์หลายปีที่ผ่านมา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น