วันเสาร์ที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2555

#10 Payment Gateway Integration

 

ถ้าหากว่าคณต้องการเป็นผู้ประกอบการใหม่ และผู้ประกอบการใหม่ต้องการทำเว็บไซต์ขายของหรือเว็บ E-commerce มักจะมี Requirement และคำถามหลังเปิดเว็บไซต์แนวนี้มาด้วย ว่าเว็บไซต์นั้นสมารถตัดเงินผ่านบัตรเครดิต (Creit Card) ได้หรือไม่ในมุมมองของผู้ประกอบการ หรือผู้เปิดธุรกิจเว็บไซต์ใหม่ๆมักจะไม่รู้รูปแบบธุรกิจ หรือ Business Model อยากให้มีช่องทางการจ่ายเงินที่ดีเวลาซื้อของผ่านอินเตอร์เน็ต มักจะนึกถึงการจ่ายเงินทางบัตรเครดิต จำเป็นต้องเปิดบริการตัดเงินผ่านบัตรเครดิตหรือที่เรียกว่า Credit Card Payment Gateway

clip_image001

ขั้นตอนการขอเปิดบริการจ่ายเงินผ่านบัตรเครดิต โดยทั่วไปจะใช้ 2 วิธี

1.เปิด Payment Gateway กับทางธนาคารโดยตรง

ปัจจุบันได้รับความนิยมหลากหลายที่ทางด้าน ธ.กรุงเทพ, ธ.กรุงศรีอยุธยา และ ธ.กสิกรโดยทำการติดต่อไปที่ธนาคาร

ซึ่งมักจะ Require ค่า Parameter ที่เป็นมาตราฐานกลาง บางตัวเช่น ต้องจดทะเบียน E-Commerce กับกระทรวงพาณิชย์ หรือจำเป็นที่จะต้องซื้อ SSL ที่มีความน่าเชื่อถือสูง ที่ต่างประเทศยอมรับ ต้องมีโปรแกรมเมอร์เข้าใจหลัก Webservice เข้าใจค่าพรารามิเตอรื Framework ของส่วนมาตรฐานกลาง และ ต้องเป็นบริษัทที่มีทุนจดทะเบียน 2 ล้านบาทขึ้นไป ในบางแห่งถึงกับต้องมีการตกลงให้วางเงินค้ำประกัน นั่นหมายถึง Cost ที่สูงขึ้น มีงบทำเว็บไซต์แค่ 1-3 หมื่น ไม่สามารถทำได้แน่ๆ

2.เปิด Payment Gateway แบบผ่านคนกลาง

เช่น Paysbuy, Paypal ซึ่งปกติจะให้บริการ E-wallet และการจ่ายเงินตัดบัตรเครดิตโดยตรง ที่ Paysbuy เรียกว่า Directpay ผู้ที่ต้องการใช้บริการ ต้องมีความน่าเชื่อถือพอสมควร ซึ่งทางคนกลางจะพิจารณาเป็นราย ๆ ไปว่าสมควรจะเปิดให้ใช้หรือไม่ และไม่ต้องการ SSL เพราะเมื่อชำระเงินระบบจะลิ้งไปที่เว็บของ คนกลางเองซึ่งมีระบบ SSL อยู่แล้ว

clip_image002

จากสองข้อนั้น มีข้อดี ข้อเสียแตกต่างกันไป นั่นคือถ้าคุณเป็นองค์กรใหญ่ ทำเน้นทำธุรกรรมออนไลน์เป็นหลัก โดยมีทีมพัฒนาเว็บไซต์แล้วก็ติดต่อธนาคารโดยตรงได้เลย โดยเสียค่าบริการต่อ Transaction ไม่สูงนัก 0.5-3 %

แต่หากว่าคุณไม่มั่นใจ และพึ่งเริ่มทำ E-commerce โดยอาจจะใช้ Freelance หรือ Outsource ทั่วไป ที่ค่าจ้างไม่สูงนัก และตัวผู้ประกอบการนั้นไม่มีความรู้เกี่ยวกับการตลาดออนไลน์ ก็แนะนำให้ใช้บริการผ่านคนกลางหรือ Paysbuy จะสะดวกซะกว่าไปสุ่มๆเสี่ยงๆ เพราะการเขียนโปรแกรมติดต่อ Gateway สามารถจัดการด้าน API ง่ายกว่าการใช้ Web service ของทางธนาคาร และคนกลางอย่าง Paypal และ Paysbuy จะคอย Monitor การจ่ายเงินตลอดเวลา เมื่อมีสิ่งแปลกปลอมเข้ามาสู่ระบบก็จะทำการตรวจสอบข้อมูล ก่อนหักเงินจริง ๆ เป็นการป้องกันอีกขั้นนึงในการแก้ปัญหาการโขมยใช้บัตรเครดิตคนอื่นมาซื้อสินค้า

clip_image003

ปัญหาอีกรูปแบบคือ การใช้บัตรเครดิตของคนไทยนั้นคนไทยจะมีความรู้สึกว่าไม่ปลอดภัยเกี่ยวกับการโขมยข้อมูลบัตรเครดิต ทำให้เกิดกรณีหลีกเลี่ยงการจ่ายเงินด้วยบัตรเครดิต และกลุ่มคนที่จะจ่ายเงินผ่านวิธีนี้มักจะเป็นชาวต่างชาติซะมากกว่า

ดังนั้น Payment Gateway ที่ต้องการจะเปิดนั้นควรมองกลุ่มเป้าหมายก่อว่าเป็นคนไทยหรือคนต่างชาติ

SSL หรือ Secure Socket Layers เป็นโปรโตคอลในการส่งข้อมูลแบบเข้ารหัส

ซึ่งวิธีเข้ารหัสจะแตกต่างกันไปในแต่ละเจ้าของ สังเกตุได้ง่าย ๆ

เมื่อเข้าเว็บที่ต้องทำธุรกรรมเกี่ยวกับการเงิน

ระบบจะ alert ถาม yes/no และ http: จะเป็นเปลี่ยนเป็น https:

โดยแต่ละเจ้าจะมี Certificated ให้เมื่อคุณซื้อ SSL ของเค้า และบางเจ้าถึงกับแจ้งว่า ถ้าถอดรหัสได้ รับไปเลย $10,000,000 (-*-มั่นใจสุด ๆ )

Mobile payment ต้องเขียนโปรแกรมติดต่อ Webservice

และต้องซื้อเบอร์จาก operator แต่ละเจ้า ซึ่งแพงและกำหนดเป็นต่อ

Slot ตามราคา เช่น ถ้าคุณเปิดช่องราคา 9 บาท และ 20 บาท

เวลาคุณจะตัดเงินจากลูกค้า ก็จะตัดได้แค่ 2 ราคานี้เท่านั้นและเมื่อได้รับชำระเงิน

Service charge สูงถึง 40-50% ของราคาขายทีเดียว

เหมาะกับสินค้าประเภท software / e-book / Digital media file

หรือสินค้าที่ไม่มีต้นทุนต่อจำนวน

#10 Shopping Cart Development

 

Shopping Cart คืออะไร

Shopping Cart คือซอฟต์แวร์ที่ทำหน้าที่เป็นเสมือนตะกร้าหรือรถเข็นสินค้าที่ลูกค้าใช้ระหว่างการเลือกสินค้าบนเว็บไซต์ ซึ่งจะเก็บข้อมูลต่างๆของสินค้าทุกชิ้นที่ถูกเลือกไว้แล้ว เช่น รหัสสินค้า ราคา และจำนวนสินค้า ในขณะที่ลูกค้ากำลังเลือกสินค้าอื่นอยู่หรืออยู่ระหว่างรอชำระเงิน ระบบนี้จะเอื้ออำนวยให้ลูกค้าสามารถตรวจดูรายการสินค้า เพิ่มสินค้าใหม่ ย้ายสินค้าเดิมออก หรือเปลี่ยนแปลงจำนวนสินค้าตามที่ต้องการ ตราบใดที่ยังไม่ได้เข้าสู่ระบบชำระเงิน ระบบการทำงานดังกล่าวนี้สามารถสร้างขึ้นเองได้โดยใช้สคริปต์ของบางโปรแกรมคอมพิวเตอร์ เช่น ASP , CGI, หรือPHP บวกกับการทำงานของคุ้กกี้ในกรณีที่มีรายการสินค้าให้เลือกไม่มากนัก แต่สำหรับเว็บไซต์ขนาดใหญ่ที่มีรายการสินค้าให้เลือกเป็นจำนวนมากมักจะใช้การซื้อซอฟต์แวร์สำเร็จรูปแทน เพราะมีประสิทธิภาพสูงกว่าและรองรับข้อมูลได้มากกว่า

ระบบตะกร้าหรือรถเข็น แบ่งเป็น 2 ระบบได้แก่

1.ระบบแบบเติมตัวเลขจำนวนสินค้า

clip_image001

2.ระบบคลิกหยอดสินค้าลงตะกร้าที่ละชิ้น

clip_image002

การคลิกส่งสินค้าในแต่ละครั้งของทั้ง 2 แบบจะเป็นการส่งรหัสสินค้า, ราคา และข้อมูลอื่นๆ เข้าไปยังโปรแกรมประมวลผล เพื่อคำนวณยอดเงินและแสดงรายการที่สั่งซื้อไปแล้ว

ข้อดีของโปรแกรม Shopping Cart ร้านค้าสำเร็จรูป

· ราคาถูก ใช้งานง่าย รองรับภาษาไทย และ ภาษาอังกฤษ

· เปลี่ยนรูปแบบเว็บไซต์ (Template) ได้ตลอดเวลาไม่จำกัดจำนวนครั้ง

· รองรับทะเบียนพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์

· แสดงข่าวสารร้านค้าได้ และ โปรโมชั่นร้านค้าได้

· ใส่รูปภาพหน้าร้านค้าและโลโก้ของคุณได้

· ใส่แผนที่ของร้านค้าได้ และลูกเล่นต่างๆ ได้

· จัดหมวดหมู่สินค้าได้หลายระดับไม่จำกัด

· จัดแสดงสินค้าโปรโมชั่นได้

· ตะกร้าสินค้า Shopping Cart ร้านค้าสำเร็จรูป ร้านค้าออนไลน์

· ระบบสต๊อกสินค้า

#10 Ecommerce Website Development

 

E-Commerce (พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์) คืออะไร............

ถ้าจะกล่าวกันสั้นๆก็คือการทำ ”การค้า”ผ่านทางระบบอิเล็กทรอนิกส์ นั่นเอง โดยคำว่าสื่ออิเล็กทรอนิกส์ นั้นจะครอบคลุมตั้งแต่ ระดับเทคโนโลยีพื้นฐาน อาทิ โทรศัพท์ โทรสาร โทรทัศน์ ไปจนถึงเทคโนโลยีที่มีความซับซ้อนกว่านี้

แต่ว่าในปัจจุบันสื่อที่เป็นที่ นิยมและมีความแพร่หลายในการใช้งานคืออินเทอร์เน็ตและมีการนำมาใช้ประโยชน์เพื่อการทำการค้ามาก จนทำให้เมื่อพูดถึงเรื่อง พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์คนส่วนใหญ่ จะเข้าใจไปว่าคือการทำการค้าผ่านอินเทอร์เน็ตนั่นเอง

อินเตอร์เนตจะเปลี่ยนวิถีทางการดำรงชีวิตของทุกคน อินเตอร์เนต จะเปลี่ยนวิธีการศึกษาหาความรู้ อินเตอร์เนตจะเปลี่ยนวิธีการทำมาค้าขาย อินเตอร์เนตจะเปลี่ยนวิธีการหาความสุขสนุกสนาน อินเตอร์เนตจะเปลี่ยนทุกสิ่งทุกอย่าง และทุกสิ่งทุกอย่างจะรวมกันเข้ามาหาอินเตอร์เนต กล่าวกันว่าในปัจจุบันนี้ถ้าบริษัทห้างร้านใดไม่มีหน้าโฮมเพจในอินเตอร์เนตบริษัทห้างร้านนั้นก็ไม่มีตัวตน นั่นคือไม่มีใครรู้จัก เมื่อไม่มีใครรู้จักก็ไม่มีใครทำมาค้าขายด้วย แล้วถ้าไม่มีใครทำมาค้าขายด้วยก็อยู่ไม่ได้ต้องล้มหายตายจากไป
ว่ากันว่าอินเตอร์เนตคือแหล่งข้อมูลข่าวสาร และข้อมูลข่าวสารอย่างหนึ่งก็คือ ข้อมูลเกี่ยวกับราคาสินค้า ข้อมูลรายละเอียดเกี่ยวกับสินค้านั้นๆ และข้อมูลเกี่ยวกับผู้ขายผู้ผลิต ซึ่งในปัจจุบันผู้บริโภคมีทางเลือกในการที่จะซื้อสินค้ากันมากขึ้น เช่นการเข้าไปเลือกซื้อจากในเว็บไซต์ มีการเข้าไปเปรียบเทียบราคาสินค้าก่อนที่จะซื้อ หากจะกล่าวว่า “ข่าวสาร” คืออำนาจ ในปัจจุบันนี้ผู้บริโภคก็ได้รับการติดอาวุธอย่างใหม่ที่มีอำนาจมากพอที่จะต่อรองกับผู้ผลิต และผู้จำหน่ายสินค้าได้ผลดีที่สุดเท่าที่เคยมีมาและพฤติกรรมของผู้บริโภคทั่วโลกก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง
ในการทำอีคอมเมิร์ซนั้นไม่ใช่เพียงแค่เป็นเว็บเพจหรือช่องทางการจำหน่ายสินค้า แต่อีคอมเมิร์ซยังมีความหมายรวมไปถึงการนำเทคโนโลยีมาใช้ในกระบวนการทางธุรกิจ เพื่อลดค่าใช้จ่าย ลดเวลาที่ต้องสูญเสียไปโดยเปล่าประโยชน์ และยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจ
รวมไปถึงการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าของกับผู้บริโภค และผู้ค้าส่ง สำนักวิจัยไอดีซี (IDC) ได้ประมาณรายได้ของการทำธุรกิจอีคอมเมิร์ซแบบธุรกิจต่อธุรกิจ (B-to-B) ว่าเพิ่มขึ้นจาก 80 พันล้านเหรียญสหรัฐหรือประมาณ 3,200 พันล้านบาทในปี พ.ศ. 2542 เป็น 1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐหรือประมาณ 40 ล้านล้านบาทในปี พ.ศ. 2546

ประโยชน์ของ web e-commerce

clip_image001

    1 เป็นการขยายช่องทางในการแนะนำสินค้า และเป็นการเพิ่มยอดขายของบริษัทอีกช่องทางหนึ่งด้วย
    2 มีค่าใช้จ่ายที่ไม่สูง แต่มีประสิทธิภาพสูงมากในการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าของท่าน
   3  สามารถที่จะยกระดับการค้าของบริษัทให้มีความน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้น
    4 ท่านสามารถซื้อขายสินค้าผ่านเว็บไซต์ของท่านได้ ได้ตลอด 24 ชั่วโมง
    5 มีรูปแบบการติดต่อลูกค้าใหม่ๆ เช่น การพิมพ์คุยสนทนาผ่านหน้าเว็บหรือ แชท (Chat) เพื่อ Support ลูกค้าของคุณได้ และมีการติดต่อผ่านระบบที่เรียกว่าอีเมล์ (Email)  
     6 ช่วยให้มีหน้าร้านการขายสินค้าที่ใครๆ ก็สามารถที่จะเข้าถึงได้โดยง่าย ผ่านหน้าร้านที่เรียกว่าโฮมเพจ (Homepage)
    7 เป็นการส่งเสริมการค้าขายในรูปแบบใหม่ผ่านทางอินเตอร์เน็ต สามารถเพิ่มความน่าเชื่อถือของประเทศท่านได้
   8  เป็นเหมือนฐานการโฆษณาให้กับบริษัทของท่าน โดยไม่จำกัดอยู่แค่พื้นที่ใดพื้นที่หนึ่ง หรือจำกัดอยู่ที่กลุ่มคนกลุ่มหนึ่ง แต่สามารถโฆษณาผ่านถึงคนทุกคนที่ใช้งานอินเตอร์เน็ตได้

ข้อเสีย

  • ผู้ซื้ออาจไม่แน่ใจว่าสั่งซื้อแล้วจะได้รับสินค้าจริง หรือได้รับสินค้าที่ไม่เป็นไปตามคาดหวัง หรือสินค้าชำรุดเสียหายหรือสูญหาย
  • สินค้าอาจเป็นสินค้าที่ไม่ผ่านการทดสอบ หรือสินค้าไม่มีคุณภาพ
  • เสี่ยงต่อการถูกฉ้อโกง หรือถูกโกงราคาหรือถูกหลอกลวงได้ง่าย
  • ข้อมูลสินค้าบางอย่างอาจมีการโอ้อวดคุณภาพสินค้าเกินจริง โดยที่เราไม่สามารถตรวจสอบได้
  • ในระบบกฎหมายของไทย ยังไม่มีการให้ความคุ้มครองอย่างทั่วถึงเพียงพอ ความปลอดภัยในข้อมูลทางอินเทอร์เน็ตจึงยังไม่ปลอดภัยพอ

clip_image002Virtuemart

Virtuemart เป็นโปรแกรมส่วนขยายของ Joomla ที่มีประสิทธิภาพสูง มีระบบตระกร้าสินค้า ที่ทำงานได้กับระบบอีคอมเมิรซ์แบบ B2B และ B2C รองรับผู้ผลิตและผู้จำหน่ายหลายราย และฟังก์ชั่นอื่นๆอีกมาก ซึ่งเมื่อนำมารวมกับข้อเด่นของ Joomla ที่สามารถจัดการ Content ได้อย่างดีเยี่มม เรียกได้ว่า Virtuemart คือสุดยอดของระบบอีคอมเมิรซ์สมบูรณ์แบบอย่างแท้จริง เหมาะแก่ผู้ที่ต้องการเว็บไซต์ที่ประกอบไปด้วย Content ต่างๆที่ท่านต้องการแสดงภายในเว็บไซต์ และทำธุรกรรมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ควบคู่กันไปด้วย

clip_image003 PrestaShop

PrestaShop คือเว็บไซต์สำเร็จรูปที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ที่ต้องการทำธุรกรรมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ที่กำลังได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เหมาแก่ผู้ที่ต้องการเน้นการทำธุรกรรมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์

แนวทาง E-Commerce ในการพัฒนาสำหรับ ปี 2012

clip_image004

Product ที่จะทำให้ประสบความสำเร็จนั้นมันต้องแตกต่าง ที่สำคัญง่าย และเข้าถึง อ่านจบกลับมาดูงานตัวเองในปีที่ผ่านมา Requirement ทั้งหมดทั้งปวงคือสิ่งที่ลูกค้าต้องการแต่ยังไม่ออกมาเป็น Plat form ที่ควรจะเป็น นั่งทบทวนจากสิ่งที่มีอยู่ Source Code และ แนวทาง Marketing ของลูกค้าที่ประสบความสำเร็จ แต่ยังยากอยู่สำหรับการนำมาใช้กับลูกค้าทุกราย Mission ในปีนี้ของ Team จะต้องพัฒนาของเดิมให้ดีขึ้น เราจะทำอะไร

clip_image0014

จุดแข็งที่ Open Source ระบบ E-Commerce นั้น ไม่สามารถทำได้คือ

1. Middle ware หรือเรียกอีกอย่างว่าระบบกลาง ในการเชื่อมต่อระหว่าง off-line กับ On-line ให้ทำงานพร้อมกัน ถึงแม้จะ ต้องตั้งเวลาในการดึงข้อมูล Update / Insert ตามภาษาโปรแกรมเมอร์ แต่จากประสบการณ์ การเชื่อมต่อระบบที่ผ่านมาทำให้เรา แข็งในแง่ประสบการณ์ด้านนี้

2. E-Commerce Solution Platform ประสบการณ์หลายปีที่ผ่านมาเราพัฒนาระบบ E-Commerce เชื่อมต่อกับระบบ Payment Gateway ทำให้ลูกค้าเข้าถึงในการซื้อสินค้าได้โดยง่าย

3. Infrastructure + Support ระบบที่ดีต้องไม่ล่ม ต้องขายได้ 24 ชั่วโมงและต้องมีคนเป็นในการแก้ปัญหาได้

4. ระบบเช่า เป็น Business Model ที่น่าลองเป็นที่สุดคือการเก็บเป็น Monthly Charge แทนการเก็บทั้งก้อน เพื่อการดูแลตลอด

ระบบ E-Commerce กลับมา Reviews อีกครั้งกับสิ่งที่มีอยู่นั้น เราน่าจะต้องลงมือไปปฏิวัติ เอา Design นำการตลาด

clip_image002

นี่คือสิ่งที่จะทำให้ Platform E-Commerce เกิดมาในปี 2012 ในสิ่งที่ได้เรียนรู้จากประสบการณ์หลายปีที่ผ่านมา

#10 Website Design with Content Management System

ความหมายของคำว่า CMS ที่หลายคนอาจจะสงสัย ว่ามันคืออะไร วันนี้เราจะมาอธิบายให้ฟังในรูปแบบที่เข้าใจง่ายๆ เริ่มต้นจากคนที่ทำเว็บ ก็อาจจะต้องเริ่มต้นจาก HTML ก่อนใช่ไหมครับ แล้ว หลายคนก็จะต่อยอดออกไปที่ภาษา PHP หรือ ASP ก็แล้วแต่ตามความถนัดของแต่ละคน ทั้งนี้อันเนื่องมาจาก HTML เป็นภาษาที่ไม่ยืดหยุ่น มีความตายตัวมากๆ ให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ ให้ใช้ HTML เพียงภาษาเดียว จะไม่สามารถเขียนกระดานข่าว ห้องแชท ตัวนับ ระบบซื้อขาย โพสรูปภาพ เว็บบอร์ท ระบบสมัครสมาชิก หรืออะไรเหล่านี้ได้อย่างแน่นอน
ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ ผมจะกล่าวเข้าถึงตัว CMS ซึ่งมันเป็นโค้ดภาษา PHP หรือ ASP ที่สำเร็จรูปโดนที่เราไม่ต้องเขียนเอง

หมายความว่าอย่างไรสำเร็จรูป ?
หากคนเคยทำเว็บ ที่ผ่านประสบการณ์มาพอประมาณ จะนึกออกว่า ถ้าเราต้องการ ตัวนับสถิติใส่เว็บ เราก็จะต้องไปหาโค้ดสำเร็จรูปมาติดตั้ง แล้วถ้าเราอยากจะมีเว็บบอร์ดเราก็ต้องใปหาเว็บบอร์ดมาติดตั้ง ถ้าต้องการระบบแลกลิ้งค์ก็ต้องวิ่งหามาติดตั้ง ฯลฯ กว่าจะติดตั้งครบทุกฟังก์ชั่นที่เราต้องการเล่นเอาเราเหงื่อแตกและนั่ง มึนไปแล้ว 32 ตลบ เพราะว่าการติดตั้งสคริปเหล่านี้แต่ละอย่างก็มีวิธีการติดตั้งที่แตกต่างกัน ไปตามแต่ผู้พัฒนาแต่ละคน
ดังนั้น CMS คือคำตอบ!!! เพราะว่า CMS มีการเรียกติดตั้งเพียงครั้งเดียวก็สามารถใช้งานได้ทันที โดยที่หลังจากการติดตั้งนั้น เราจะได้ระบบเว็บไซต์ที่พร้อมใช้งานมาในทันที โดยที่จะมีฟังก์ชั่นพื้นฐานของ CMS คือ
     - ตัวนับ
- กระดานข่าว
- ระบบจัดการข่าวสาร
- ระบบจัดการบทความ
- ระบบเว็บลิ้งค์
- ระบบสมาชิก
- ระบบดาวน์โหลด
และอื่นๆตามแต่ที่ CMS แต่ละตัวแต่ละยี่ห้อจะเพิ่มฟังก์ชั่นเข้าไป
ทั้งนี้ทั้งนั้น เรายังสามารถเพิ่มความสามารถเข้าไปให้กับตัว CMS เหล่านั้นได้อีกด้วย เพราะ CMS จะสามารถลงตัวเสริมเพิ่มเติมเข้าไปได้ ทำให้เว็บเรามีลูกเล่นมากขึ้นนั่นเอง
CMS ต่างจาก Blog หรือ ไดอารี่อย่างไร ?
คำถามนี้ น่าจะเป็นคำถามที่คาใจหลายๆ คน ว่ามันก็มีลักษณะคล้ายกัน แต่ต่างกันอย่างไร... จากประสบการณ์ของตัวผมเอง ที่ได้ลองสัมผัสมาแล้ว ก็พบว่า ความต่างของมันก็คือ เป้าหมายปลายทางนั่นเอง หากอธิบายให้เห็นภาพ Blog Diary ก็เปรียบเสมือนกับที่เขียน ประสบการณ์ที่เราผ่านมา(บ่นๆ) ลงไปใน Blog หรือ Diary ของเรานั่นเอง แต่ว่า CMS มักจะเอามาใช้ในลักษณะเว็บจริงๆ ที่เป็นการเป็นงานมากกว่า(หรือเว็บส่วนตัว ก็ได้ ไม่ได้ผิดแต่ประการใด) และฟังก์ชั่นค่อนข้างครบถ้วนกว่านั่นเอง ไม่มีความรู้เรื่องทำเว็บ ศึกษานิดเดียวก็ทำเว็บไซต์ได้
อยากอ่าน ความหมายของ CMS แบบเป็นการเป็นงานบ้าง? ออ ได้ครับ เราจัดให้
CMS - Content Management System หรือ ระบบจัดการเนื้อหานั่นเอง(แปลซะตรงตัวเชียว) เป็นระบบเว็บสำเร็จรูปที่มีระบบการจัดการเนื้อหาเว็บอยู่เบื้องหลัง โดยที่ผู้ใช้งาน ไม่จำเป็นต้องมีความรู้ในด้านการเขียนหรือพัฒนาเว็บไซต์ ก็สามารถใช้งานได้ เพราะจะมีส่วนของการจัดการทุกส่วนของเว็บอยู่เบื้องหลังเว็บนั่นเอง โดยการทำงานเป็นลักษณะ Web Base ทั้งหมด (สั่งงาน แก้ไข ทุกอย่างผ่านหน้าเว็บ) ถ้าไม่เห็นภาพ ยกตัวอย่างตอนนี้คือ หลักการคล้ายๆ กบเรามี Facebook หรือ Hi5 (เก่าเลยเชียว แต่ก็มีผู้เล่นอยู่) มันจะมีระบบดูแลแก้ไขข้อมูลของเราเอง พอเราแก้ไขเสร็จสิ้น มันก็จะไปโชว์หน้าเว็บเราอัตโนมัติ
ซึ่ง CMS มีอยู่หลายตระกลู เพียงเรา ดาวโหลดตัว CMS ที่เราต้องการ ไป Run บนพื้นที่ที่เราจะสร้างเว็บไซต์ (Host) เท่านั้นเราก็สร้างเว็บไซต์ได้เลย
ตัวอย่าง  CMS ที่มีอยู่ตอนนี้
- Drupal : Drupal เป็น CMS ที่มี forum, blog ในตัวเอง เว็บใหญ่อย่าง ubuntu.com ก็ใช้ drupal สร้างเว็บไซต์
- Joomla : Joomla เป็น CMS ที่คนนิยมใช้งานกันมาก ทั้งในประเทศไทย และต่างประเทศ ทำให้หาข้อมูลและหนังสืออ่านได้ง่าย Joomla ไม่มี forum ในตัวเองเหมือนกับ Drupal แต่ก็สามารถติดตั้ง Component/Module สำหรับสร้างเว็บบอร์ดเพิ่มเติมได้
- Magento : Magento เป็น E-Commerce Script เหมาะสำหรับทำร้านค้าขนาดใหญ่ มี theme default ที่สวยงาม
        - OsCommerce : OsCommerce เป็น E-Commerce Script ที่เขียนด้วย PHP ที่มีการใช้งานมายาวนานแล้ว ทำให้ตัว Script มีความเสถียร ไม่ค่อยจะมีข้อบกพร่องให้เห็น
- phpBB : เป็น Script สำหรับทำ forum หรือ webboard
- PrestaShop: PrestaShop เป็น E-commerce script ที่ใช้ php เขียน พัฒนาโดยชาวฝรังเศส Prestashop พัฒนาขึ้นมาเพื่อให้เป็น web e-commerce ที่รองรับกับ web 2.0 ใช้งานง่ายเหมาะกับการทำเว็บขายสินค้าทั่วไป
- SMEWeb: SMEWeb พัฒนาโดยคนไทย ใช้งานง่ายไม่มีความซับซ้อน
- SMF: หรือ Simple Machine Forum เป็น Script สำหรับสร้างเว็บบอร์ดที่คนนิยมใช้งานกันมากอีกตัวหนึ่ง การใช้งานก็ง่าย มี mod และ theme ให้เลือกใช้มากมายพอสมควร
- Wordpress: Wordpress เป็น PHP Script สำหรับสร้าง blog หรือจะนำไปสร้างเว็บไซต์ก็ได้ wordpress ขึ้นชื่อว่าเป็น script ที่รองรับการทำ seo ได้ดีอีกตัวหนึ่ง
- Discuz : Discuz เป็น php script สำหรับทำเว็บบอร์ดหรือ forum พัฒนาโดยชาวจีน Discuz เป็น script ที่มีลูกลเล่น มี feature ต่างๆเยอะพอสมควร
- Joomla Laithai เป็น e-commerce script อีกตัวที่สร้างจาก joomla กับ vitualmart โดยคนไทยเป็นคนพัฒนาขึ้นมา เหมาะกับใครที่ต้องการทำร้านค้าออนไลน์ และต้องการมี webboard ในตัว เพราะ joomla สามารถติดตั้ง webboard เพิ่มเติมได้
- OpenCart เป็น open source e-commerce ที่แจกจ่ายให้ใช้ฟรีอีกตัวหนึ่ง มีขนาดเล็กใช้งานง่ายไม่ยุ่งยาก

#10 Portal Development

Portal คืออะไร

           1. Portal เป็นคำใหม่ มีความหมายเหมือนกับ Gateway สำหรับ World Wide Web หมายถึง Web site ที่เป็นจุดเริ่มต้นของผู้ใช้ส่วนใหญ่ เมื่อเชื่อมต่อกับเว็บหรือผู้ใช้จะเข้าไปในฐานะ auchor site มี portal แบบทั่วไปและแบบเฉพาะ (niche portal) portal แบบทั่วไปได้แก่ Yahoo, Excite, Netscape, Lycos, Gnet, Microsoft Network และ America Online ตัวอย่าง niche portal ได้แก่ Garden.com, (สำหรับผู้ทำสวน) , Fool.com (สำหรับนักลงทุน) เป็นต้น จำนวนผู้ให้บริการส่วนใหญ่จะเสนอ portal ไปที่เว็บสำหรับผู้ใช้ของเรา portal ส่วนใหญ่พัฒนาตามแบบ Yahoo ในการจัดเนื้อหาด้วยข้อความเป็นหลัก ทำให้โหลดเพจได้เร็วสำหรับผู้เยี่ยมชมและง่ายในการใช้ บริษัทที่มี portal site จะดึงดูดผู้ลงทุนในตลาดหุ้นให้สนใจเพราะ portal สามารถมองได้ว่าสามารถเป็นแหล่งการประชาสัมพันธ์ที่เปิดให้ผู้เข้าชมได้จำนวนมาก

บริการตามปกติเสนอโดย portal site รวมถึง เว็บแบบสมุดรายชื่อ, สิ่งอำนวยความสะดวกในการค้นหาเว็บอื่น, ข่าว, พยากรณ์อากาศ, e-mail, ราคาหุ้น, โทรศัพท์ และแผนที่ บางครั้งรวมถึง forum ของชุมชน เว็บ Excite เป็น Portal แรก ที่ใช้สามารถสร้าง site ที่สนในเป็นส่วนตัวได้

คำว่า portal space ใช้ในความหมายจำนวนทั้งหมดของ site หลักที่แข่งขันเพื่อเป็นหนึ่งในกลุ่ม portal

        2. ในเกมแบบ fantasy , นิยายวิทยาศาสตร์และปรัชญายุคใหม่ portal เป็น Gateway เพื่อไปยังโลกอื่นในอดีต ปัจจุบัน หรือ อนาคต หรือ การขยายความระมัดระวัง

        3. ในการพัฒนากราฟฟิก 3 มิติ portal rendering เป็นเทคนิคในการเพิ่ม effect ของความสมจริงและเพิ่มความเร็วในการนำเสนอ

 

APPLICATION DEVELOPMENT

ระบบงานแบบสำเร็จรูปคงไม่สามารถตอบโจทย์ทางด้านธุรกิจขององค์กรได้ครบถ้วนทุกอย่าง แม้ว่าบางรายจะมีระบบงานแบบหลากหลายมาก มีให้เลือกมาก องค์กรในปัจจุบันอาจจะเลือกใช้ระบบงานสำเร็จรูป (Application Package) สำหรับส่วนงานที่มีมาตรฐานสากลหรือเป็นไปตามกฎระเบียบ ส่วนระบบงานอื่นที่ใช้สำหรับงานเฉพาะเจาะจง หรือใช้เพื่อขั้นตอนการทำงานพิเศษ จะใช้การพัฒนาขึ้นมาใหม่ แต่ก็จะมีการเชื่อมต่อเพื่อนำข้อมูลมาจากระบบหลักๆ

การบริหารโครงการ ขอบเขตงาน ระยะเวลาที่ใช้ เครื่องมือในการพัฒนา ราคานำเสนอ รวมทั้งความพร้อมของทีมงานจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ใช้ในการแข่งขัน

จุดแข็งของ G-ABLE สำหรับกลุ่มโซลูชั่นทางด้าน Application Development คือ ความรับผิดชอบต่อโครงการ ซึ่งเราจะจบโครงการใดๆ บนความพึงพอใจของทั้งสองฝ่าย นอกจากนี้การให้บริการในลักษณะเอาท์ซอร์ส (Outsource) ทางด้านกำลังคน ไปทำงานให้กับลูกค้าตามคุณลักษณะที่ต้องการ ก็เป็นอีกด้านที่น่าสนใจ

#10 Open Source Ecommerce Integration

ซอฟต์แวร์ Open Source คืออะไร?

ซอฟต์แวร์ที่ให้ไปพร้อมกับซอร์สโค้ด

  • ซอร์สโค้ด คือ ซอฟต์แวร์ต้นฉบับ โดยจะต้องสามารถอ่านเข้าใจ และอยู่ในรูปแบบที่สามารถปรับปรุงแก้ไขเพิ่มเติมได้

ผู้ใช้ซอฟต์แวร์ Open Source มีอิสระในการนำไปใช้ นำไปแจกจ่าย และปรับปรุงแก้ไข โดยจะคิดค่าใช้จ่ายหรือไม่ก็ได้ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขในการอนุญาต

นิยามของซอฟต์แวร์ Open Source มีอะไรบ้าง?
องค์กรอิสระ Open Source Initiative (OSI) ได้นิยามซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์สไว้ดังนี้

  1. อนุญาตให้นำไปเผยแพร่ได้อย่างเสรี (Free Redistribution)
    ไลเซนต์จะต้องไม่จำกัดในการขาย หรือแจกจ่ายให้กับผู้อื่น โดยไม่มีการบังคับว่าต้องจ่ายค่าธรรมเนียม (Royalty Fee) ให้กับเจ้าของซอฟต์แวร์ต้นฉบับ
  2. ให้มาพร้อมกับซอฟต์แวร์ต้นฉบับ (Source Code)
    โปรแกรมต้องให้มาพร้อมกับ Source Code หรือถ้าไม่ได้ให้มาพร้อมโปรแกรมจะต้องมีช่องทางที่จะทำให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึง Source Code ได้โดยไม่มีการคิดค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม และ Source Code ที่ให้มาจะต้องอยู่ในรูปแบบที่นำไปปรับปรุงแก้ไขได้
  3. อนุญาตให้สร้างซอฟต์แวร์ใหม่โดยต่อยอดจากซอฟต์แวร์ต้นฉบับ (Derived Works)
    ไลเซนต์ของซอฟต์แวร์ต้องอนุญาตให้สามารถนำไปปรับปรุงแก้ไข และสร้างซอฟต์แวร์ใหม่ โดยซอฟต์แวร์ตัวใหม่จะต้องมีไลเซนต์เช่นเดียวกับซอฟต์แวร์ต้นฉบับ
  4. ต้องไม่แบ่งแยกผู้พัฒนาออกจากซอฟต์แวร์ต้นฉบับ (Integrity of the Author''s Source Code)
    ไลเซนต์อาจจะไม่ได้ให้ไปพร้อมซอสโค้ดในรูปแบบที่สามารถแก้ไขได้ ในกรณีที่มีการกำหนดว่าจะให้ซอร์สโค้ดเฉพาะส่วนที่มีการแก้ไขเพิ่มเติม (patch files) เพื่อใช้ในการคอมไพล์โปรแกรมเท่านั้น ไลเซนต์ใหม่จะต้องกำหนดให้ชัดว่าสามารถแจกจ่ายได้หลังจากแก้ไขซอร์สโค้ดแล้ว โดยไลเซนต์ใหม่อาจจะต้องทำการเปลี่ยนชื่อ หรือเวอร์ชั่นให้แตกต่างจากซอฟต์แวร์ต้นฉบับ
  5. จะต้องไม่เลือกปฏิบัติเพื่อกีดกันบุคคล หรือกลุ่มบุคคล (No Discrimination Against Persons or Groups)
    ไลเซนต์จะต้องไม่เลือกปฏิบัตเพื่อกีดกันการเข้าถึงซอฟต์แวร์ของบุคคล หรือกลุ่มบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ
  6. จะต้องไม่จำกัดการใช้เฉพาะกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเท่านั้น (No Discrimination Against Field of Endeavor)
    ไลเซนต์จะต้องไม่จำกัดการใช้สำหรับกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง เช่น จะต้องไม่จำกัดการใช้งานเฉพาะในเชิงธุรกิจ หรือในการทำวิจัยเท่านั้น
  7. การเผยแพร่ไลเซนต์ (Distribution of License)
    สิทธิ์ที่ให้ไปกับโปรแกรมจะต้องถูกบังคับใช้กับทุกคนที่ได้รับโปรแกรมเท่าเทียมกัน โดยไม่จำเป็นต้องใช้ไลเซนต์อื่นๆ ประกอบ
  8. ไลเซนต์ของซอฟต์แวร์จะต้องไม่ขึ้นกับไลเซนต์ของผลิตภัณฑ์ (License Must Not be Specific to a Product)
    หมายความว่า ถ้าซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์สถูกนำไปพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ ไลเซนต์ของซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์สจะต้องไม่ต้องไม่ขึ้นอยู่กับซอฟต์แวร์ใดซอฟต์แวร์หนึ่งในผลิตภัณฑ์ตัวนั้น
  9. ไลเซนต์ของซอฟต์แวร์จะต้องไม่จำกัดไลเซนต์ของซอฟต์แวร์อื่น (License Must Not Restrict Other Software)
    ไลเซนต์ของซอฟต์แวร์ที่รวมในมีเดียเดียวกันจะต้องไม่ถูกบังคับให้เป็นโอเพ่นซอร์สซอฟต์แวร์ด้วย
  10. ไลเซนต์จะต้องไม่ผูกติดกับเทคโนโลยี (License Must Be Technology-Neatral)

จุดแข็งที่ Open Source ระบบ E-Commerce นั้น ไม่สามารถทำได้คือ

1. Middle ware หรือเรียกอีกอย่างว่าระบบกลาง ในการเชื่อมต่อระหว่าง off-line กับ On-line ให้ทำงานพร้อมกัน ถึงแม้จะ ต้องตั้งเวลาในการดึงข้อมูล Update / Insert ตามภาษาโปรแกรมเมอร์ แต่จากประสบการณ์ การเชื่อมต่อระบบที่ผ่านมาทำให้เรา แข็งในแง่ประสบการณ์ด้านนี้

2. E-Commerce Solution Platform ประสบการณ์หลายปีที่ผ่านมาเราพัฒนาระบบ E-Commerce เชื่อมต่อกับระบบ Payment Gateway ทำให้ลูกค้าเข้าถึงในการซื้อสินค้าได้โดยง่าย

3. Infrastructure + Support ระบบที่ดีต้องไม่ล่ม ต้องขายได้ 24 ชั่วโมงและต้องมีคนเป็นในการแก้ปัญหาได้

4. ระบบเช่า เป็น Business Model ที่น่าลองเป็นที่สุดคือการเก็บเป็น Monthly Charge แทนการเก็บทั้งก้อน เพื่อการดูแลตลอด

ระบบ E-Commerce กลับมา Reviews อีกครั้งกับสิ่งที่มีอยู่นั้น เราน่าจะต้องลงมือไปปฏิวัติ เอา Design นำการตลาด

E-Commerce ความสมบูรณ์แบบในตัวมันเอง

E-Commerce ความสมบูรณ์แบบในตัวมันเอง

นี่คือสิ่งที่จะทำให้ Platform E-Commerce เกิดมาในปี 2012 ในสิ่งที่ได้เรียนรู้จากประสบการณ์หลายปีที่ผ่านมา

#10 OsCommerce Integration


OsCommerce Integration

osCommerce เป็นซอฟแวร์ระบบเปิด หรือโอเพนซอร์ส ที่ใช้ในการจัดการ บริหารร้านค้าออนไลน์ สามารถนำมา ดัดแปลงเพื่อ ให้ใช้งานได้กับ อีคอมเมิร์ซ ร้านค้าออนไลน์ ซึ่งรองรับ หลายภาษา รวมถึงภาษาไทยด้วย

ซอฟแวร์นี้ สามารถติดตั้งได้ บนระบบปฏิบัติการ Linux, Unix, Solaris, BSD, Max OS X และ Windows

พัฒนาด้วยภาษา PHP ซึ่งเป็นภาษา ที่เรียกว่า server-side หรือ HTML embedded scripting language เป็นเครื่องมือสำคัญ ชนิดหนึ่งที่ ช่วยให้เราสามารถ สร้างเอกสารแบบ Dynamic HTML ได้อย่างมี ประสิทธิภาพ และสวยงาม มีลูกเล่นมากขึ้น

osCommerce ใช้ร่วมกับ ระบบฐานข้อมูล MySQL ซึ่งเป็นซีเอ็มเอส (CMS; Content Management System) เหมือนกับ PHP-Nuke แต่ PHP-Nuke เป็นเว็บสำเร็จรูป ที่มีลักษณะทั่วไป ไม่ได้เจาะจง หรือมุ่งเน้นไปที่ เรื่องอีคอมเมิร์ซ เพียงอย่างเดียว เหมือน osCommerce ที่มุ่งเน้นเฉพาะ เรื่องอีคอมเมิร์ซ เท่านั้น

osCommerce มีความสามารถทั่วไป เหมือนการใช้ Dreamweaver หรือ Frontpage หรือ Adobe สร้างเว็บ ร้านค้าออนไลน์ ซึ่งมีคุณสมบัติรองรับ ระบบตระกร้าสินค้า ระบบการชำระค่าสินค้า ระบบการส่งสินค้า ระบบการบริหาร จัดการร้านค้า ระบบการแนะนำสินค้า และบริการ เป็นต้น

osCommerce มีครบทุกอย่าง ที่จำเป็นสำหรับช่วยธุรกิจ ของเราให้ ประสบผลสำเร็จ โดยไม่จำเป็น ต้องมาเสียเวลา ในการเขียนโค๊ด หรือออกแบบเว็บไซต์ ติดตั้งง่าย ไม่ยุ่งยาก



ขั้นตอนการติดตั้ง
1.ทำการติดตั้งระบบร้านค้า โดยเข้าไปที่ http://www.yourdomain.com/install/
 
2.ที่หน้าแรกให้คลิก Install เพื่อเริ่มทำการติดตั้งระบบ

3. คลิก "ดำเนินการต่อ"
4.ตรงช่องชื่อเซิร์ฟเวอร์ฐานข้อมูล (Database Host Name) ให้ใส่เป็น localhost
5.กรอกชื่อผู้ใช้ (DB_Username) ฐานข้อมูล (DB_Name) และรหัสผ่าน (DB_Password)
6.คลิก "ดำเนินการต่อ"

7.คลิก "ดำเนินการต่อ"

 8.คลิก "ดำเนินการต่อ"
9.คลิก "ดำเนินการต่อ"
10.คลิก "ดำเนินการต่อ"

11.หากระบบติดตั้งเสร็จสมบูรณ์ท่านจะพบกับข้อความ "การตั้งค่าสำเร็จ!" หากท่านต้องการแก้ไขเว็บไซต์ให้คลิกที่ "เครื่องมือผู้ดูแลระบบ"


12.ก่อนเข้าสู่หน้า "เครื่องมือผู้ดูแลระบบ" จะพบกับหน้า Login ดังภาพข้างต้น ให้ทำการ Login โดยใช้อีเมล์ demo@cmssociety.com และรหัสผ่าน 12345 หลังจาก Login เรียบร้อยแล้ว จะพบกับหน้าจอดังต่อไปนี้ (อย่าลืมเปลี่ยน อีเมล์ และ รหัสผ่าน เพื่อความปลอดภัย)


13.ทดสอบการใช้งานโดยเข้าไปที่ http://www.yourdomain.com ท่านจะพบกับหน้าร้านตัวอย่างที่ระบบสร้างไว้ให้
14.หากต้องการบริหารและจัดการร้านค้าของท่าน ให้เข้าไปที่ http://www.yourdomain.com/controlshop/



ตัวอย่างหน้าเว็บไซต์ที่ใช้ระบบ  “osCommerce”



#10 x-cart Integration


x-cart Integration

ระบบ "shopping cart" www.x-cart.com ระบบนี้จะต้องเสียค่าใช้จ่าย แต่ว่าจะคุ้มกว่าระบบ OsCommerce มากที่สำคัญไม่ต้องใช้ความรู้เกี่ยวกับ php ก็สามารถทำเว็บเองได้ X – Cart เป็นหนึ่งในตะกร้าสินค้าที่เป็นที่นิยมมากที่สุดในเว็บไซต์
รายละเอียด
X-Cart สามารถใช้ได้ทันทีพร้อมแก้ปัญหารถเข็นช็อปปิ้ง และเป็นโปรแกรมที่มีประสิทธิภาพมาก เป็นตะกร้าช็อปปิ้งที่สามารถกำหนดเองสำหรับร้านค้าบนเว็บ X-Cart เป็น Smarty ของ PHP ฐานข้อมูล MySQL คุณสมบัติของX-Cart การประมวลผลออนไลน์บัตรเครดิต ตัวเลือกของผลิตภัณฑ์ การติดตามสินค้าคงคลัง การติดตามการจัดส่งแบบ real - timeคำนวณภาษีและอัตราการจัดส่งมีประสิทธิภาพ X-Cart มีประสิทธิภาพการทำงานที่ราบรื่น
X – Cart ใช้กันอย่างแพร่หลายโดยหน่วยงานและบุคคลทั่วไปที่แตกต่างกันเช่นมี บริษัท ต่างๆที่ดำเนินการขายหลายช่องทางในงบประมาณต้นทุนต่ำขายทั้งปลีก, จำหน่าย, ผู้ให้บริการโซลูชั่นอีคอมเมิร์ซและ บริษัท อินเทอร์เน็ตต่างๆ
สิ่งสำคัญในการค้าที่เกี่ยวข้องของหน่วยต่างๆ รวมเป็นธุรกิจ (ผู้ขาย), ลูกค้าและแพลตฟอร์ม (เว็บไซต์อีคอมเมิร์ซ) พัฒนาเพื่อประสิทธิภาพการดำเนินธุรกิจเหล่านี้เป็นสิ่งสำคัญมาก สำคัญที่สุดคือการพัฒนาแพลตฟอร์ม (เว็บไซต์อีคอมเมิร์ซ) และการตัดสินใจใช้เทคโนโลยีนี้อยู่กับปัจจัยต่างๆเช่นลักษณะธุรกิจ (ขนาด, ชนิด, etc), เทคนิคและความรู้ทางเทคนิคที่ไม่ใช่ของนักธุรกิจ และสุดท้ายทรัพยากรมีพร้อมในเรื่องของการพัฒนาแพลตฟอร์ม (เว็บไซต์อีคอมเมิร์ซ)
การพัฒนาเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซไม่ใช่เรื่องใหม่ในสภาพแวดล้อมการพัฒนาเว็บ ในเทคโนโลยีอื่น ๆ สำหรับผลิตภัณฑ์โซลูชั่นอีคอมเมิร์ซเปิดแหล่งที่มาเป็นบทบาทสำคัญสำหรับเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซที่แข็งแกร่งและการพัฒนา X cart จะถือครองอันดับที่ดีในแง่ของการแก้ปัญหาอีคอมเมิร์ซ เหตุผลสำหรับนักพัฒนาและนักธุรกิจที่เลือกเทคโนโลยี X cart เพราะเป็นที่เชื่อถือได้และคุ้มค่า เป็นแพลตฟอร์มที่ทรงพลังสามารถซื้อสินค้าตามที่เขียนใน PHP / MySQL และใช้ Smarty แม่แบบ เทคโนโลยีต่างๆที่มีประโยชน์ในตัวและสามารถปรับแต่งคุณสมบัติการพัฒนาปราศจากข้อผิดพลาด เว็บไซต์อีคอมเมิร์ซจะช่วยให้การทำเว็บไซต์หลายภาษาสำหรับหน้าร้านเพิ่มเติม โต้ตอบและการปรับเปลี่ยนหรือบูรณาการคุณลักษณะใหม่ของเว็บไซต์ได้ง่าย
การพัฒนาเว็บไซต์ X cart เป็นที่นิยมในหมู่นักพัฒนาเพื่อความปลอดภัยที่ให้คุณสมบัติ ในค้าปลีกออนไลน์ความปลอดภัยทางธุรกิจเป็นหนึ่งในองค์ประกอบสำคัญและ X cart ให้ระดับการรักษาความปลอดภัยในการถ่ายโอนข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์จากองค์กรอื่น ส่งข้อมูลเชิงพาณิชย์จากเซิร์ฟเวอร์ของผู้ซื้อกับเครื่องของลูกค้าเป็นอย่างมากที่เป็นความลับที่ต้องใช้ความปลอดภัยระดับสูงเพื่อประหยัดการสูญเสียข้อมูล เมื่อลูกค้าเข้าบางข้อมูลที่สำคัญสำหรับการซื้อสินค้าบนหน้าเว็บแล้วซื้อจาก X cart คุณลักษณะด้านความปลอดภัยเริ่มทำงานโดยอัตโนมัติเพื่อรักษาความปลอดภัยให้กับข้อมูลที่ป้อน  เทคโนโลยีที่ใช้โดยระบบจะ SSL (Secure sockets layer) หรือ TLS (Transport Layer Security) การทำงานระหว่างเซิร์ฟเวอร์ของผู้ขายและเบราเซอร์ของลูกค้า

จุดเด่น
§  ไม่จำเป็นต้องใช้ การเขียนโปรแกรม
§  ไม่จำเป็นต้องใช้ ความรู้เกี่ยวกับ HTML
§  ระบบแม่แบบ 100%
§  การออกแบบปรับแต่งเค้าโครงได้อย่างเต็มที่
§  คำสั่งทั้งหมดเก็บไว้ในฐานข้อมูล SQL
§  ลูกค้าสามารถค้นหาและเรียกดูประวัติการสั่งซื้อได้
§  ไม่จำกัด จำนวนสินค้า
§  ไม่จำกัด จำนวนประเภท
§  ไม่จำกัด ตัวเลือกผลิตภัณฑ์ / พันธุ์ / คุณสมบัติ  / ตัวเลือกการปรับเปลี่ยนราคา
§  ไม่จำกัด ช่องป้อนข้อมูลที่กำหนดเองสำหรับผลิตภัณฑ์
§  มีรหัสคูปองส่วนลดและบัตรของขวัญ
§  คำนวณ USPS, FedEx และ UPS การจัดส่งสินค้า แบบ real - time
§  ไม่จำกัด จำนวนวิธีการจัดส่ง
§  ยอมรับการชำระเงินในสกุลเงินต่างๆ
§  ประมวลผลบัตรเครดิต แบบ real - time
§  การสนับสนุนสำหรับ UNIX / Linux, Windows และ Mac OS X Server
§  ขับเคลื่อนด้วยฐานข้อมูล MySQL
§  มีฐานข้อมูลค่าคอมมิชชั่น
§  ไม่จำกัดจำนวนของ บริษัทในเครือ

                             หน้าเว็ปไซต์ x-cart


#10 Content Management System


Content Management System

ระบบบริหารจัดการเนื้อหาเว็บไซต์ (Content Management System : CMS) คือโปรแกรมที่เขียนขึ้นด้วยภาษสคริปต์ ทำงานอยู่บนเว็บเซิร์ฟเวอร์ในรูปแบบของเว็บแอปพลิเคชั่นนั่นคือเป็นแอปพลิเคชั่นที่ทำงานผ่านเว็บด้วยการแสดงผลในหน้าต่างของโปรแกรมเว็บเบราเซอร์ CMS เป็นโปรแกรมสร้างเว็บไซต์แบบสำเร็จรูป พร้อมกับมีเครื่องมือสำหรับบริหารจัดการเนื้อหาและองค์ประกอบต่างๆ บนเว็บไซต์อย่างครบถ้วน CMS มีคุณสมบัติในการจัดการกับเนื้อหาของเว็บไซต์ในปริมาณมากๆ ได้อย่างยืดหยุ่นตามความต้องการของผู้ดูแลเว็บไซต์ ภาษาสคริปต์ที่ถูกนำมาสร้างเป็นโปรแกรม CMS ส่วนใหญ่คือภาษา PHP, ASP และ JAVA และระบบ CMS จะจัดเก็บข้อมูลเนื้อหาไว้ในไฟล์ฐานข้อมูล เช่น MySQL, Protege SQL และ Microsoft SQL เป็นต้นนอกจากนี้ CMS ยังได้นำเทคโนโลยีของภาษา XML (Extensible Markup Language) เข้ามาช่วยในการจัดการประเภทของข้อมูลอีกด้วย

องค์ประกอบของ ระบบบริหารจัดการเนื้อหาเว็บไซต์
     ระบบบริหารจัดการเนื้อหาเว็บไซต์ หรือ CMS ใดๆ ก็ตาม อย่างน้อยจะต้องมีองค์ประกอบอยู่ 3 ส่วนด้วยกัน จึงจะทำหน้าที่เป็น CMS ได้อย่างสมบูรณ์ นั่นคือ

      1) เครื่องมือจัดการเนื้อหา (Content Management Application : CMA)
มีหน้าที่จัดการเนื้อหาทุกชนิดบนหน้าเว็บเพจไปตลอดอายุของเนื้อหานั้น เริ่มตั้งแต่การสร้าง การรักษา และการลบทิ้งออกไปจากที่จัดเก็บข้อมูล ซึ่งอาจจะเป็นในไฟล์ฐานข้อมูล หรือแยกออกมาเป็นไฟล์ต่างหาก อย่างเช่น รูปประกอบต่างๆ ก็ได้ กระบวนการจัดการเนื้อหาโดยธรรมชาติแล้วจะอยู่ในแบบที่เป็นลำดับขั้นตอนและสำเร็จลงได้ด้วยการทำงานตามลำดับงาน (
Workflow) ด้วยเช่นกัน ในส่วนของ CMA ยังช่วยให้นักเขียนของเว็บไซต์ที่ไม่มีความรู้ในภาษา HTML ภาษาสคริปต์ หรือโครงสร้างของเนื้อหาเว็บไซต์ สามารถสร้างเนื้อหาได้โดยง่าย ช่วยในการสร้างและดูแลเนื้อหาของเว็บไซต์ไม่ต้องการความรู้ระดับของเว็บมาสเตอร์อีกต่อไป การดูแลเนื้อหาของเว็บไซต์ในเวลาหนึ่งๆ อาจจะมีผู้ดูแลเนื้อหาเข้ามาทำงานพร้อมๆ กันหลายๆ คนก็ได้
      2) เครื่องมือจัดการข้อมูลของเนื้อหา (Metacontent Management Application : MMA)
ข้อมูลของเนื้อหา (
Metacontent) หรือข้อมูลของข้อมูล (Metadata) เป็นข้อมูลที่ใช้อธิบายข้อมูลอีกทีหนึ่ง เช่นข้อมูลที่อธิบายว่า เนื้อหา ชิ้นหนึ่งถูกสร้างขึ้นเมื่อไหร่ โดยใคร ถูกจัดเก็บไว้ที่ไหน ถูกใช้งานบนหน้าเว็บเพจไหน และจัดวางบนหน้าเว็บเพจนั้นอย่างไร เป็นต้น การจัดการข้อมูลของเนื้อหายังช่วยให้การควบคุมเวอร์ชั่นของชิ้นส่วนเนื้อหาต่างๆ บนเว็บไซต์ เป็นเรื่องที่ง่ายขึ้นกว่าเดิมอีกด้วย MMA เป็นแอปพลิเคชั่นที่ใช้สำหรับจัดการวงจรทั้งหมดของ Metacontent เช่นเดียวกันกับ CMA ที่จัดการกับวงจรชีวิตของเนื้อหาเว็บไซต์ (Content) ทั้งหมดนั้นเอง
     3) เครื่องมือนำเสนอเนื้อหา (Content Delevery Application : CDA)
มีหน้าที่ดึงชิ้นส่วนเนื้อหา ออกมาจากที่เก็บ และจัดเรียงลงบนหน้าเว็บเพจด้วยรายละเอียดจาก MMA เพื่อนำเสนอต่อผู้เข้าชมเว็บไซต์ โดยส่วนใหญ่แล้วผู้ใช้งาน CMS สร้างเว็บไซต์มักจะไม่ค่อยได้ยุ่งเกี่ยวกับ CDA มากนัก นอกจากขั้นตอนการติดตั้งและการกำหนดรูปแบบการแสดงผล หลังจากนั้นก็ปล่อยให้ CDA ทำงานไปตามกระบวนการ นั้นคือ ข้อมูลของเนื้อหา เป็นสิ่งที่บอกต่อ CDA ว่า อะไรคือสิ่งที่จะต้องนำมาแสดง และถูกแสดงอย่างไร ไม่ว่าจะเป็น การจัดวาง สี ช่องว่าง ฟอนต์ ลิงก์ และอื่นๆ ซึ่งจะเห็นได้ว่า ผู้ดูแลสามารถเปลี่ยนแปลงคุณลักษณะได้อย่างยืดหยุ่น โดยการเปลี่ยนเฉพาะในส่วนของข้อมูลเนื้อหา ไม่ต้องไปปรับเปลี่ยนที่ตัวเนื้อหาโดยตรง คุณสมบัติข้อนี้ทำให้เว็บไซต์สามารถเปลี่ยนดีไซน์ทั้งหมดได้ทั้งกับเนื้อหาที่สร้างมานานแล้ว และกับเนื้อหาที่กำลังจะสร้างขึ้นใหม่ โดยไม่กระทบต่อการทำงานทั้งหมดของเว็บไซต์


ประโยชน์ของ ระบบบริหารจัดการเนื้อหาเว็บไซต์
     ประโยชน์เบื้องต้นที่ผู้ใช้งานจะได้รับ เมื่อนำ CMS เข้ามาสร้างและดูแลเว็บไซต์ มีดังนี้

1) ควบคุมรูปแบบของเว็บไซต์ได้ดี ผู้ดูแลเว็บไซต์สามารถกำหนดรูปแบบมาตรฐานของเว็บได้ง่าย
2) อัพเดทเว็บไซต์ได้จากทุกๆ ที่ สามารถเข้าถึงเครื่องมือบริหารจัดการเว็บไซต์ ผ่านทางอินเทอร์เน็ต จึงทำให้สามารถ ทำงานที่ไหนก็ได้ที่มีคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ต
3) ไม่ต้องติดตั้งโปรแกรม การเข้าใช้งาน
CMS ต้องการเพียงเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีการต่อเชื่อมอินเทอร์เน็ต กับโปรแกรมเว็บเบราเซอร์เท่านั้น ไม่ต้องมีการติดตั้งโปรแกรมลงบนเครื่องใด
4) ไม่ต้องมีความรู้ภาษา
HTML และ Script สามารถบริหารจัดการเนื้อหาด้วยเครื่องมือ CMS ที่จัดเตรียมให้
5) รองรับการทำงานจากผู้ใช้งานหลายคนได้พร้อมกัน
CMS เป็นเว็บแอปพลิเคชั่นแบบ Client – Server  จึงรองรับการเข้าใช้งานเว็บเซิร์ฟเวอร์จากผู้ใช้งานหลายๆ คนได้ในเวลาเดียวกัน
6) เพิ่มศักยภาพในการร่วมมือกันทำงาน เพราะใน
CMS มีเครื่องมือในการควบคุมชิ้นส่วนเนื้อหา รองรับการทำงานร่วมกันของผู้ดูแลเว็บไซต์และผู้ใช้งาน
7) การนำชิ้นส่วนเนื้อหากลับมาใช้ใหม่ เพราะระบบ
CMS มีการแยกชิ้นส่วนของเนื้อหาออกจากกัน ทำให้การนำกลับมาใช้งานใหม่เป็นเรื่องที่ง่าย


การประยุกต์ใช้งาน ระบบบริหารจัดการเนื้อหาเว็บไซต์
     1)   การนำ CMS มาช่วยในการสร้างเว็บไซต์สถาบันการศึกษา ธุรกิจบันเทิง หนังสือพิมพ์ การเงิน การธนาคาร หุ้นและการลงทุน อสังหาริมทรัพย์ งานบุคคล งานประมูล สถานที่ท่องเที่ยว งานให้บริการลูกค้า
     2)   การนำ CMS มาช่วยในหน่วยงานของรัฐบาล อาทิ งานข่าว งานประชาสัมพันธ์ การนำเสนองานต่าง ๆขององค์กร
     3)   การนำ CMS มาช่วยในการสร้างเว็บไซต์ส่วนตัว ชมรม สมาคม สมาพันธ์ โดยวิธีการแบ่งงานกันทำ เป็นส่วนๆ ทำให้เกิดความสามัคคี ทำงานมีการทำงานที่เป็นทีมเวิร์คมากขึ้น
     4)   การนำ CMS มาช่วยในการสร้างเว็บไซต์สำหรับธุรกิจ SME โดยเฉพาะสินค้า หนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ หรือ OTOP ที่กำลังเป็นที่นิยมอยู่ในขณะนี้
     5)   การนำ CMS มาใช้แทนโปรแกรมลิขสิทธิ์อื่น ๆ เพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายและง่ายต่อการพัฒนา
     6)   การนำ CMS มาช่วยในการทำ เว็บไซต์อินทราเน็ต ซึ่งเป็นเว็บไซต์ที่ใช้ภายในองค์กร


เราสามารถนำเอา CMS มาสร้างเว็บแบบใดได้บ้าง


ตัวอย่างหน้าเว็บไซต์ที่ใช้ระบบ CMS